
Verb (กริยา) เป็นคำ หรือ กลุ่มคำที่เป็นการแสดงออก การเคลื่อนไหวของประธาน หรือแสดงสภาวะของประธาน เช่น eat กิน, run วิ่ง, walk เดิน, see เห็น, go ไป คำกริยา ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประโยคภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่มีคำกริยาก็จะไม่สามารถสร้างประโยค
กริยาแท้ กริยาไม่แท้ กริยาหลัก กริยาช่วย
ครับวันนี้ขอนำทุกคนเข้ามาเรียนรู้เรื่องของคำกริยากันก่อนนะครับ ก่อนที่จะไปเรียนเรื่องโครงสร้างประโยคขอให้มาเรียนรู้เกี่ยวกับกริยา ซึ่งกริยาแต่ละตัวมันทำหน้าที่อย่างไร มันเป็นกริยาแบบไหน ที่ครูใจก็ได้แนะนำไปบางส่วนแล้วจากการที่ไปดูคลิปวีดีโอการสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งก็เลยอยากนำแนวของเค้ามาสอนดูบ้างว่าเด็กจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เอาละ เรามาดูกันเลยครับ
โดยทั่วไปประโยคจะประกอบด้วยประธาน และกริยา (อาจจะมีกรรมด้วย)
หลักๆ แล้วเราแบ่งกริยาออกเป็นกริยาแท้ และกริยาไม่แท้
1) กริยาแท้
กริยาแท้มีหน้าที่ตามชื่อของมัน คือเป็นตัวแสดงลักษณะอาการ การกระทำของประธาน และกาล (tense) ซึ่งกริยาแท้นี้แบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทย่อยคือ กริยาหลัก และกริยาช่วย
กริยาหลัก คือกริยาที่สำคัญของประโยค ถ้าตัดออกจะไม่รู้ความหมายเลยในประโยคนั้นๆ
กริยาช่วย คือกริยาที่ไม่สำคัญ เป็นแค่ตัวเสริมให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
เช่น
He eats an apple.
กริยาในประโยคนี้มีอยู่แค่ตัวเดียวคือ eats (ซึ่งเติม -s ตามประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3 ปัจจุบันกาล)
ส่วน He is eating an apple.
กริยาในประโยคนี้มี 2 ตัวคือ is และ eating จะเห็นได้ว่าทั้งคู่ทำหน้าที่บอกการกระทำ นั่นคือเป็นคำกริยาแท้ทั้งคู่ โดย is เป็นกริยาที่มาช่วย ไม่ได้มีความหมาย ส่วนกริยาหลักที่ขาดไม่ได้จริงๆ คือ eating ที่แปลว่ากิน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า verb to be จะเป็นได้แค่กริยาช่วยอย่างเดียว เช่น
I am a student.
จะเห็นได้ว่า am เป็นกริยาหลัก แปลว่า เป็น
โดยกริยาช่วยในภาษาอังกฤษมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัว แต่ก่อนที่เราไปดูกัน เราลองมาดูถึงกริยาหลักก่อน กริยาหลักนั้นมีได้เยอะแยะมากมาย และสามารถมีรูปต่างๆ 5 รูป ดังนี้
1) รูปไม่ผัน คือรูปธรรมดาของมัน เช่น eat, walk, work, sleep, go
2) รูปเติม -s เช่น eats, walks, works, sleeps, goes
3) รูปอดีต เช่น ate, walked, worked, slept, went
4) รูป present participle (รูปเติม -ing) เช่น eating, walking, working, sleeping, going
5) รูป past participle (รูปช่อง 3) เช่น eaten, walked, worked, slept, gone
แล้วในตอนหน้าเราจะมาเรียนต่อกันที่กริยาช่วย (24 ตัว) และกริยาไม่แท้กัน
กริยาช่วย 24 ตัวประกอบด้วย
1) verb to be = is/am/are/was/were ต้องตามด้วยกริยาหลักในรูป present participle (-ing) หรือ past participle (ช่อง 3)
2) verb to do = do/does/did ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป infinitive (ไม่เปลี่ยนรูป)
3) verb to have = have/has/had ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป past participle
4) will/would/shall/should/can/could/may/might/must/ought to/used to/need to ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป infinitive
2) กริยาไม่แท้
คือคำกริยาที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาของประโยค แต่จะทำหน้าที่เป็นคำชนิดอื่นๆ แทน เช่น คำนาม คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ โดยกริยาแท้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปคือ
1) รูป infinitive ทำหน้าที่เป็นคำนาม คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ โดยจากจะเป็น
Infinitive with to เช่น to walk, to do, to sleep หรือ
Infinitive without to เช่น walk, do, sleep ก็ได้
เช่น
To swim is a very good exercise. กริยาแท้คือ is ส่วน To swim เป็นกริยาไม่แท้
I went to see my family. กริยาแท้คือ went ส่วน to see เป็นกริยาไม่แท้
I can hear the birds sing. กริยาแท้คือ can hear ส่วนกริยาไม่แท้คือ sing
2) รูป gerund (-ing) ทำหน้าที่เสมือนเป็นคำนาม
เช่น
Exercising is good for health. กริยาแท้คือ is ส่วนกริยาไม่แท้คือ Exercising
I love dancing. กริยาแท้คือ love ส่วนกริยาไม่แท้คือ dancing
3) รูป participle (-ing หรือช่อง 3) ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์
เช่น
It is a barking dog. ถ้าคำนามที่ถูกขยายทำกริยานั้นเอง กริยาไม่แท้รูป participle ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์จะเป็น -ing
It is a barked dog. ถ้าคำนามที่ถูกขยายถูกทำกริยานั้นใส่ กริยาไม่แท้รูป participle ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์จะเป็น ช่อง 3
ในเมื่อเราเข้าใจความแตกต่างระหว่างกริยาแท้และกริยาไม่แท้แล้ว เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่ากริยาแท้จะต้องผันตามประธาน กาล หรือรูปประโยค passive ส่วนกริยาไม่แท้นั้นจะอยู่ในรูปใด ทำหน้าที่เป็นคำประเภทใด ต้องแล้วแต่กรณี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น