วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความรู้วิชาภาษาอังกฤษ



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ verb คือ
Verb (กริยา) เป็นคำ หรือ กลุ่มคำที่เป็นการแสดงออก การเคลื่อนไหวของประธาน หรือแสดงสภาวะของประธาน เช่น eat กิน, run วิ่ง, walk เดิน, see เห็น, go ไป คำกริยา ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประโยคภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่มีคำกริยาก็จะไม่สามารถสร้างประโยค


กริยาแท้ กริยาไม่แท้ กริยาหลัก กริยาช่วย

ครับวันนี้ขอนำทุกคนเข้ามาเรียนรู้เรื่องของคำกริยากันก่อนนะครับ ก่อนที่จะไปเรียนเรื่องโครงสร้างประโยคขอให้มาเรียนรู้เกี่ยวกับกริยา ซึ่งกริยาแต่ละตัวมันทำหน้าที่อย่างไร มันเป็นกริยาแบบไหน ที่ครูใจก็ได้แนะนำไปบางส่วนแล้วจากการที่ไปดูคลิปวีดีโอการสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งก็เลยอยากนำแนวของเค้ามาสอนดูบ้างว่าเด็กจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เอาละ เรามาดูกันเลยครับ 
โดยทั่วไปประโยคจะประกอบด้วยประธาน และกริยา (อาจจะมีกรรมด้วย)

หลักๆ แล้วเราแบ่งกริยาออกเป็นกริยาแท้ และกริยาไม่แท้

1) กริยาแท้

กริยาแท้มีหน้าที่ตามชื่อของมัน คือเป็นตัวแสดงลักษณะอาการ การกระทำของประธาน และกาล (tense) ซึ่งกริยาแท้นี้แบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทย่อยคือ กริยาหลัก และกริยาช่วย

กริยาหลัก คือกริยาที่สำคัญของประโยค ถ้าตัดออกจะไม่รู้ความหมายเลยในประโยคนั้นๆ

กริยาช่วย คือกริยาที่ไม่สำคัญ เป็นแค่ตัวเสริมให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

เช่น

He eats an apple.

กริยาในประโยคนี้มีอยู่แค่ตัวเดียวคือ eats (ซึ่งเติม -s ตามประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3 ปัจจุบันกาล)

ส่วน He is eating an apple.

กริยาในประโยคนี้มี 2 ตัวคือ is และ eating จะเห็นได้ว่าทั้งคู่ทำหน้าที่บอกการกระทำ นั่นคือเป็นคำกริยาแท้ทั้งคู่ โดย is เป็นกริยาที่มาช่วย ไม่ได้มีความหมาย ส่วนกริยาหลักที่ขาดไม่ได้จริงๆ คือ eating ที่แปลว่ากิน

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า verb to be จะเป็นได้แค่กริยาช่วยอย่างเดียว เช่น

I am a student.

จะเห็นได้ว่า am เป็นกริยาหลัก แปลว่า เป็น

โดยกริยาช่วยในภาษาอังกฤษมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัว แต่ก่อนที่เราไปดูกัน เราลองมาดูถึงกริยาหลักก่อน กริยาหลักนั้นมีได้เยอะแยะมากมาย และสามารถมีรูปต่างๆ 5 รูป ดังนี้

1) รูปไม่ผัน คือรูปธรรมดาของมัน เช่น eat, walk, work, sleep, go

2) รูปเติม -s เช่น eats, walks, works, sleeps, goes

3) รูปอดีต เช่น ate, walked, worked, slept, went

4) รูป present participle (รูปเติม -ing) เช่น eating, walking, working, sleeping, going

5) รูป past participle (รูปช่อง 3) เช่น eaten, walked, worked, slept, gone

แล้วในตอนหน้าเราจะมาเรียนต่อกันที่กริยาช่วย (24 ตัว) และกริยาไม่แท้กัน



กริยาช่วย 24 ตัวประกอบด้วย
          1) verb to be = is/am/are/was/were ต้องตามด้วยกริยาหลักในรูป present participle (-ing) หรือ past participle (ช่อง 3)
2) verb to do = do/does/did ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป infinitive (ไม่เปลี่ยนรูป)
3) verb to have = have/has/had ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป past participle
4) will/would/shall/should/can/could/may/might/must/ought to/used to/need to ต้องตามด้วยกริยาหลักรูป infinitive

2) กริยาไม่แท้
          คือคำกริยาที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาของประโยค แต่จะทำหน้าที่เป็นคำชนิดอื่นๆ แทน เช่น คำนาม คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ โดยกริยาแท้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปคือ

1) รูป infinitive ทำหน้าที่เป็นคำนาม คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ โดยจากจะเป็น
Infinitive with to เช่น to walk, to do, to sleep หรือ
Infinitive without to เช่น walk, do, sleep ก็ได้

เช่น
To swim is a very good exercise. กริยาแท้คือ is ส่วน To swim เป็นกริยาไม่แท้
I went to see my family. กริยาแท้คือ went ส่วน to see เป็นกริยาไม่แท้
I can hear the birds sing. กริยาแท้คือ can hear ส่วนกริยาไม่แท้คือ sing

2) รูป gerund (-ing) ทำหน้าที่เสมือนเป็นคำนาม

เช่น
Exercising is good for health. กริยาแท้คือ is ส่วนกริยาไม่แท้คือ Exercising
I love dancing. กริยาแท้คือ love ส่วนกริยาไม่แท้คือ dancing

3) รูป participle (-ing หรือช่อง 3) ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์

เช่น
It is a barking dog. ถ้าคำนามที่ถูกขยายทำกริยานั้นเอง กริยาไม่แท้รูป participle ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์จะเป็น -ing
It is a barked dog. ถ้าคำนามที่ถูกขยายถูกทำกริยานั้นใส่ กริยาไม่แท้รูป participle ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์จะเป็น ช่อง 3

ในเมื่อเราเข้าใจความแตกต่างระหว่างกริยาแท้และกริยาไม่แท้แล้ว เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่ากริยาแท้จะต้องผันตามประธาน กาล หรือรูปประโยค passive ส่วนกริยาไม่แท้นั้นจะอยู่ในรูปใด ทำหน้าที่เป็นคำประเภทใด ต้องแล้วแต่กรณี












ความรู้วิชาสุขศึกษา




ฉลากโภชนาการ... ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม

ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งการอ่านฉลากก่อนซื้อก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ได้รับสารอาหาร ตรงตามความต้องการ เนื่องจากฉลากอาหารเป็นแหล่งข้อมูล พื้นฐานที่จะบอกว่าอาหารนั้นผลิตที่ใด มีส่วนประกอบอะไร มีการ ปรุง การเก็บรักษาอย่างไร ผลิต และ/หรือหมดอายุเมื่อใด มีการใช้ สารหรือวัตถุเจือปนชนิดใด รวมถึงคำเตือนที่ควรระวัง และที่สำคัญ ได้รับอนุญาตหรือผ่านการตรวจสอบจาก อย.หรือไม่ โดยดูจาก เครื่องหมาย อย. ซึ่งมีเลขสารบบอาหาร 13 หลัก อยู่ภายในกรอบ เครื่องหมาย อย. อีกส่วนหนึ่งที่ผู้บริโภคควรให้ความสนใจเนื่องจาก เป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม นั่นก็คือ “ฉลากโภชนาการ” นั่นเอง 

ฉลากโภชนาการ คืออะไร

 ฉลากโภชนาการ ก็คือ ฉลากอาหารที่มีการแสดงข้อมูลโภชนาการ ของอาหารนั้นอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Nutrition Information” ที่ระบุรายละเอียดของชนิดและปริมาณสารอาหารที่มีใน อาหารนั้นไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ใส่ใจสุขภาพ หรือ ผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรค เรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น เพราะจะช่วยให้ทราบถึงชนิดและปริมาณสารอาหารที่จะได้รับจาก การบริโภคอาหารนั้น ๆ ทำให้เลือกบริโภคอาหารได้ตรงตามภาวะโภชนาการ ของแต่ละบุคคล และสามารถนำมาเปรียบเทียบ เพื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อาหารยี่ห้อที่ให้ประโยชน์มากที่สุดได้อีกด้วย ที่สำคัญยังช่วยให้ผู้บริโภค หลีกเลี่ยงสารอาหารที่ไม่ต้องการได้ เช่น เป็นโรคไตต้องควบคุมปริมาณ โซเดียม หรือไขมันในเลือดสูงต้องควบคุมโคเลสเตอรอล เป็นต้น ปัญหานี้ แก้ไขได้ เพียงแค่อ่านฉลากโภชนาการ เท่านั้น

ประโยชน์ของฉลากโภชนาการ
 1. เลือกซื้ออาหารและเลือกบริโภคให้เหมาะสมกับความต้องการ หรือภาวะทางโภชนาการของตนได้ เช่น ผู้ที่มีโคเลสเตอรอลสูง ก็เลือกอาหาร ที่ระบุว่ามีโคเลสเตอรอลต่ำ หรือ ผู้ที่เป็นโรคไตก็เลือกอาหารมีโซเดียมต่ำ
 2. เปรียบเทียบเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารชนิดเดียวกัน โดยเลือก ที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าได้ 
3. ในอนาคต เมื่อผู้บริโภคสนใจข้อมูลโภชนาการของอาหาร ผู้ผลิต ก็จะแข่งขันกันผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า แทนการแข่งขัน กันในเรื่องหีบห่อ สี หรือสิ่งจูงใจภายนอกอื่น ๆ ฉลากโภชนาการ มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทำให้สามารถเลือกบริโภค อาหารสำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูปที่มีปริมาณคุณค่าสารอาหารตรงตามความ ต้องการของร่างกายได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น ผู้บริโภคจึงไม่ควรละเลยหรือ มองข้ามฉลากโภชนาการ การอ่านข้อมูลโภชนาการบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร ก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อ จะทำให้ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารตามที่ต้องการได้ 

ความรู้วิชาสังคมศึกษา



 เศรษฐศาสตร์ (economics) คือ การศึกษาวิธีการเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์และสังคม

วิชาเศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 แขนงวิชา

1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (microeconomics)
            เศรษฐศาสตร์จุลภาค จะศึกษาเกี่ยวกับหน่วยเศรษฐกิจขนาดเล็ก โดยจะศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจใช่ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ศึกษาว่าผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอย่างไรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการสูงสุดของตัวผู้บริโภค ด้วยวงเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น หากผู้บริโภคมีเงิน อยู่ 100 บาท ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเนื้อหมูได้ 1 กิโลกรัม หรือ เนื้อไก่ได้สองกิโลกรัม ผู้บริโภคจะเลือกซื้ออะไร และทำไม การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค จะรวมไปถึงการศึกษาองค์กรว่ามีการใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจเกิดผลกำไรสูงสุด เป็นต้น

2. เศรษฐศาสตร์มหภาค (macroeconomics)
            เศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นการศึกษาหน่วยเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยจะศึกษาโดยรวมทั้งระบบ เช่น การศึกษารายได้ประชาชาติของทั้งประเทศ หรือการบริโภคสินค้าและบริการ ของประชาชน รวมไปถึงศึกษาภาวะเงินเฟ้อ เงินฝืด การค้าระหว่างประเทศและการจ้างงาน

ประโยชน์ของวิชาเศรษฐศาสตร์

         1. คาดการณ์ผลที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาล เราคงเคยได้อ่านข่าวเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล ในบางครั้งเราไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลทำคืออะไร มีผลอย่างไรกับเรา และเราต้องปรับตัวอย่างไร เช่น เมื่อรัฐบาลประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ จะมีผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงด้วย แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นจะทำให้กิจการต่างๆจะลดการลงทุนเพราะว่าการลงทุนจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยในราคาที่สูงขึ้นไม่คุ้มกับผลกำไรที่จะได้รับ ดังนั้นเราจึงควรปรับลดการลงทุนตาม เป็นต้น
         2. เพื่อศึกษาอุปสงค์และอุปทาน และกลไกลของราคา ของสินค้าเพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธการทำการตลาดของธุรกิจของคุณให้ดียิ่งขึ้น เช่น คุณควรตั้งราคาของสินค้าที่คุณจะขายอย่างไรให้ได้กำไรสูงสุด หรือ จะผลิตสินค้าเท่าไรเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด เพราะการขายได้จำนวนที่มากที่สุดไม่ได้แปลว่าคุณจะกำไรมากที่สุด
         3. เพื่อมองหาโอกาสในตลาด หากคุณได้ศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ ทั้งหมดแล้วคุณจะมองเห็นโอกาสทางการลงทุนมากขึ้น เช่น เมื่อคุณรู้ว่ารัฐบาลสหรัฐประกาศจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะมีผลทำให้ค่าเงิน USD แข็งตัว และจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัว คุณจะรู้โดยทันทีว่าธุรกิจประเภทไหนจะได้รับผลประโยชน์ในเรื่องนี้ และคุณจะเลือกลงทุนในธุรกิจประเภทนั้น เช่นหากค่าเงินบาทอ่อนตัว จะมีผลดีกับธุรกิจส่งออกอย่างมาก เป็นต้น
         4. หากคุณเป็นผู้บริหารคุณจะรู้ถึงสภาวะกิจการของตัวเอง เช่น เมื่อกิจการคุณผลิต ผลิตภันฑ์ชิ้นหนึ่งออกมากจำหน่ายในตลาดแล้วขายดีในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไปยอดขายคุณจะค่อยๆลดลง คุณจะรู้โดยทันทีว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้อยู่ในช่วงเวลาถดถอย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำมาปรับปรุงและปรับโฉม หรือคิดผลิตภันณ์ใหม่เพื่อปล่อยกับสู่ตลาด
         5. เพื่อศึกษาการควบคุมต้นทุนการผลิต และศึกษากลยุทธของคู่แข็ง เพื่อเตรียมตัวแข่งขันในด้านราคา   

ความรู้วิชาศิลปะ




แม่สีและวงจรสี
แม่สี (Primary Colour)
แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม แม่สี มือยู่ 2 ชนิด คือ
1. แม่สีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม มี 3 สี คือ สีแดงสีเหลือง และสีน้ำเงิน อยู่ในรูปของแสงรังสี ซึ่งเป็นพลังงานชนิดเดียวที่มีสี คุณสมบัติของแสงสามารถนำมาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็นต้น (ดูเรื่อง แสงสี )
2. แม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีที่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน แม่สีวัตถุธาตุเป็นแม่สีที่นำมาใช้ งานกันอย่างกว้างขวาง ในวงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ แม่สีวัตถุธาตุ เมื่อนำมาผสมกันตามหลักเกณฑ์ จะทำให้เกิด วงจรสี ซึ่งเป็นวงสีธรรมชาติ เกิดจากการผสมกันของแม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีหลักที่ใช้งานกันทั่วไป ในวงจรสี จะแสดงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

colour_wheel-artyfactory

วงจรสี ( Colour Circle)
สีขั้นที่ 1 คือ แม่สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน
สีขั้นที่ 2 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่
สีแดง ผสมกับสีเหลือง ได้สี ส้ม
สีแดง ผสมกับสีน้ำเงิน ได้สีม่วง
สีเหลือง ผสมกับสีน้ำเงิน ได้สีเขียว
สีขั้นที่ 3 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะได้สีอื่น ๆอีก 6 สี คือ
สีแดง ผสมกับสีส้ม ได้สี ส้มแดง
สีแดง ผสมกับสีม่วง ได้สีม่วงแดง
สีเหลือง ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวเหลือง
สีน้ำเงิน ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวน้ำเงิน
สีน้ำเงิน ผสมกับสีม่วง ได้สีม่วงน้ำเงิน
สีเหลือง ผสมกับสีส้ม ได้สีส้มเหลือง
pic_color09pic_color08circle11
วรรณะของสี คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน-เย็น ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และสีเย็น 7 สี ซึ่งแบ่งที่ สีม่วงกับสีเหลือง ซึ่งเป็นได้ทั้งสองวรรณะ
สีตรงข้าม หรือสีตัดกัน หรือสีคู่ปฏิปักษ์ เป็นสีที่มีค่าความเข้มของสี ตัดกันอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติไม่นิยมนำมาใช้ร่วมกัน เพราะจะทำให้แต่ละสีไม่สดใสเท่าที่ควร การนำสีตรงข้ามกันมาใช้ร่วมกัน อาจกระทำได้ดังนี้
1. มีพื้นที่ของสีหนึ่งมาก อีกสีหนึ่งน้อย
2. ผสมสีอื่นๆ ลงไปสีสีใดสีหนึ่ง หรือทั้งสองสี
3. ผสมสีตรงข้ามลงไปในสีทั้งสองสี

pic_color10


สีกลาง คือ สีที่เข้าได้กับสีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้ำตาล กับ สีเทา สีน้ำตาล เกิดจากสีตรงข้ามกันในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนที่เท่ากัน สีน้ำตาลมีคุณสมบัติสำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่นแล้วจะทำให้สีนั้น ๆ เข้มขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงค่าสี ถ้าผสมมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล สีเทา เกิดจากสีทุกสี ๆ สีในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนเท่ากัน สีเทา มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่น ๆ แล้วจะทำให้ มืด หม่น ใช้ในส่วนที่เป็นเงา ซึ่งมีน้ำหนักอ่อนแก่ในระดับต่าง ๆ ถ้าผสมมาก ๆ เข้าจะกลายเป็นสีเทา

ความรู้วิชาวิทยาศาสตร์



หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช
1.1 หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
การกำเนิดสิ่งมีชีวิต
มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายการเกิดของสิ่งมีชีวิต เช่น ทฤษฎี “spontaneous generation” ที่กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองจากสิ่งไม่มีชีวิตเช่น กบและแมลงเกิดจากดิน หรือแมลงเกิดจากเนื้อเน่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันทฤษฎีดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง เป็นที่ทราบในปัจจุบันว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน เช่น สุนัขจะให้กำเนิดสุนัข หนอนผีเสื้อเกิดจากผีเสื้อและพัฒนาเป็นผีเสื้อในลำดับต่อมา อย่างไรก็ตามหากสิ่งมีชีวิตเกิดจากสิ่งมีชีวิตแล้วสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกมาจากที่ใดหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) และ แอลเฟรด รัสเซล วอลแลนซ์ (Alfred Russel Wallance) ได้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก (theory of evolution by natural selection) วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการคัดเลือกตามธรรมชาติ ซึ่งทฤษฏีดังกล่าว กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ ภายในชนิดเดียวกัน (สปีชีส์ ; species) จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งเราเรียกว่าแตกต่างภายในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันนี้ว่า ความผันแปร (variations) โดยความผันแปรดังกล่าว จะเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดในได้สภาวะแวดล้อม ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดสภาวะแห้งแล้ง แมลง สายพันธุ์ที่มีความสามารถกินอาหารได้หลายชนิดทั้งใบพืชและหญ้า จะสามารถมีชีวิตรอดได้ดีกว่าแมลง สายพันธุ์ที่สามารถกินหญ้าได้อย่างเดียว เมื่อสิ่งมีชีวิต สายพันธุ์หนึ่งสามารถมีชีวิตได้นาน ก็สามารถมีลูกหลานได้มากกว่าสิ่งมีชีวิต สายพันธุ์อื่นที่มีอายุสั้นและเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งมีชีวิต สายพันธุ์นั้นจะมีจำนวนมากขึ้นและเกิดเป็นชนิดใหม่ (new species)
สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร ? แรกเริ่มเดิมทีเมื่อโลกยังร้อน สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยบนโลกใบนี้ได้ เมื่อเวลาผ่านไปโลกเริ่มเย็นตัวลง อุณหภูมิบนโลกจึงเหมาะที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น โดยทฤษฎีที่ยอมรับเกี่ยวกับการเกิดสิ่งมีชีวิตเริ่มแรก เกิดจากการทำปฏิกิริยากันของสารเคมีซึ่งเกิดขึ้นในทะเล หลังจากนั้นเกิดเป็นสารประกอบพวกโปรตีน กรดอะมิโน และเอนไซม์ สะสมอยู่ในทะเลเป็นจำนวนมาก สำหรับสมมุติฐานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนโดยการทดลองของ สแตนลีย์ มิลเลอร์ (Stanley Miller) โดยมิลเลอร์ได้ทำการจำลองสภาวะซึ่งเป็นระบบปิด หลังจากนั้นได้ใส่ก๊าซมีเทน (CH4)แอมโมเนีย (NH3) ไฮโดรเจน และน้ำ ซึ่งเชื่อว่าสภาวะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในบรรยากาศของโลกในอดีต หลังจากนั้นให้ความร้อนและทำให้เกิดประกายไฟขึ้น ภายในระบบที่จัดไว้ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ มิลเลอร์พบว่าในชุดการทดลองพบกรดอะมิโนและกรดอินทรีย์เกิดขึ้น

สำหรับขั้นตอนต่อมาสารประกอบอินทรีย์จะรวมตัวกันเป็นโมเลกุลอินทรียสารขนาดใหญ่ (macromolecules) และวิวัฒนาการต่อไปจนเกิดเป็นโปรโตเซลล์ (protocell) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเซลล์ มีโครงสร้างของผนังเป็นไขมันและโปรตีน และเกิดการสันดาปภายในเซลล์ได้ หลังจากนั้น โปรโตเซลล์ ซึ่งเชื่อว่ามีอาร์เอ็นเอทำหน้าที่เป็นทั้งสารพันธุกรรมและเอนไซม์ จะวิวัฒนาการกลายเป็นเซลล์เริ่มแรกของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีความสามารถในการเพิ่มจำนวนหรือสืบพันธุ์
1.2 ลักษณะโครงสร้างเเละหน้าที่ของเซลล์พืชเเละเซลล์สัตว์
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ถึงแม้จะมีลักษณะและรูปร่างแตกต่างกัน แต่มีโครงสร้างพื้นฐานหรือส่วนประกอบที่สำคัญภายในเซลล์คล้ายคลึงกัน
 โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์
 1. ไลโซโซม (Iysosome) เป็นออร์แกเนลล์ที่พบ เฉพาะในเซลล์สัตว์และโปรติสต์บางชนิดรูปร่างค่อนข้างกลม ทำหน้าที่สะสมเอนไซม์ที่เกี่ยวกับการย่อยสลายสารอินทรีย์ต่าง ๆ และทำลายของเสียภายในเซลล์
2. ผนังเซลล์ (Cell Wall) เป็นผนังแข็งแรงอยู่ชั้นนอกสุดของเซลล์พืชส่วนใหญ่สร้างจากสารเซลโลโลส เป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต ทำให้เซลล์ทนทานและเป็นเยื่อที่ยอมให้สารต่าง ๆ ผ่านเข้าและออกจากเซลล์ได้ มีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและป้องกันอันตรายให้กับเซลล์
3. ครอโรพลาสต์ (Chlorplast) พบในไซโทรพลาสซึม ของเซลล์พืชบางชนิด มีลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวมีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น โดยชั้นนอกทำหน้าที่ควบคุมโมเลกุลของสารที่ผ่านเข้าออกชั้นในมีสารสีเขียวที่เรียกว่า ครอโรฟิลล์ (Cholorophyll) มีสมบัติดูดพลังงานแสงมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้พืชสามารถสร้างอาหารได้เอง ซึ่งเซลล์สัตว์ไม่มีครอโรพลาสต์
4. ไซโตพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นของเหลวที่มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดรวมทั้งส่วนที่เป็นออร์แกเนลล์ (Organelle) เป็นส่วนประกอบที่เทียบได้กับอวัยวะที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ให้แก่เซลล์มีหลายอย่าง เช่น ไรโบโซม (ribosome) มีลักษณะเป็นวงกลมหรือรูปไข่ทำหน้าที่สร้างหรือสังเคราะห์โปรตีน
5. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) เยื่อหุ้มเซลล์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยโมเลกุลของโปรตีนและไขมันมีลักษณะเป็นเยื่อบ่าง ๆ มีความยืนหยุ่นได้ และมีรูพรุนสามารถจำกัดขนาดของสารที่ผ่านเข้าออกได้ จึงมีสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน คือ ยอมให้โมเลกุลของสารขนาดเล็กผ่านได้ เช่น น้ำ ก๊าซออกซิเจน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนสารขนาดใหญ่ผ่านไม่ได้ เช่น โปรตีน หน้าที่ คือ ห่อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ ช่วยคัดเลือกสารและควบคุมปริมาณของสารที่ผ่านเข้าและออกจากเซลล์
6. กอลจิบอดี (Golgi boby) หรืออีกอย่างหนึ่งว่า กอจิแอพพาราทัส มีลักษณะเป็นท่อหรือถุงแบน ๆ เรียนซ้อนกันหลายชั้น ทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างคาร์โบโฮเดรตที่รวมกับโปรตีนซึ่งสร้างมาจากร่างแหเอนโดพลาสมิกเรติคูรัมและมีส่วนสำคัญในการสร้างผนังเซลล์ของพืชและสารเคลือบเยื่อหุ้มเซลล์ของสัตว์
7. ร่างแหเอนโดพลาสมิกเรติคูรัม (Endoplasmic Reticulum) มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ สองชั้นเรียงทบไปทบมาคล้ายถุงแบน ๆ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่มีไรโบโซมเกาะอยู่ ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนและเป็นทางส่งโปรตีนนี้ออกนอกเซลล์ และชนิดที่ไม่มีไรโบโซมเกาะอยู่
8. ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) มีลักษณะกลมจนถึงเรียวแตกต่างกันตามชนิดของสิ่งมีชีวิตทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างพลังงานให้แก่เซลล์
9. แวคิวโอล (Vaculoe) มีลักษณะเป็นถุงใสที่มีขนาดและรูปร่างไม่แน่นอนทำหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำในเซลล์ สะสมน้ำ เก็บอาหาร และขับของเสียที่เป็นของเหลว
10. นิวเคลียส (Nucleus) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์ มีลักษณะค่อนข้างกลม มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น มีรูเล็ก ๆ เป็นเยื่อเลือกผ่านซึ่งเป็นทางผ่านของสารต่าง ๆ เข้าและออกจากนิวเคลียส ภายในมีโครโมโซม บนโครโมโซมมีหน่วยพันธุกรรมหรือยีนอยู่
หน้าที่ ของนิวเคลียส เป็นศูนย์กลางในการควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต และควบคุมการทำงานของเซลล์และการเจริญเติบโตเป็นแหล่งสังเคราะห์สารพันธุกรรมและควบคุมการสังเคราะห์โปรตีนภายในเซลล์
ส่วนประกอบของนิวเคลียส มีดังนี้
1. เยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear membrane)
- มีลักษณะเหมือนกับเซลล์เมมเบรน
- ประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน บางครั้งจะมีไรโบโซมมาเกาะอยู่
- จะมีรู (pores) มากมาย ซึ่งเป้นทางผ่าน เข้าออกของสารต่าง ๆ
2. โครมาติน (Chromatin)
- เป็นส่วนของนิวเคลียสที่ติดสีย้อม
- ส่วนที่ติดสีย้อมเข้มเรียกว่า เฮทเทอโรโครมาติน (heterochromatin)
- ส่วนที่ติดสีจาง ๆ เรียกว่า ยูโครมาติน (euchromatin) ซึ่งเป็นที่อยู่ของยีนหรือดีเอ็นเอ
- โครมาตินจะหดสั้นเข้าและหนาในขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัวซึ่งเรียกว่า โครโมโซม
- สิ่งมีชีวิต แต่ละชนิดก็จะมีจำนวนโครโมโซม แตกต่างกันไป
3. ส่วนประกอบของนิวเคลียส
- มีรูปร่างกลม ๆ จำนวนไม่แน่นอนเกาะติดกับโครโมโซม
- เป็นส่วนที่ติดสีย้อมชัดเจน
- องค์ประกอบทางเคมี คือโปรตีน, RNA และเอ็นไซม์อีกหลายตัว
- ทำหน้าที่ของเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์

ตารางเปรียบเทียบเซลล์พืชและเซลล์สัตว์

1.3 การลำเลียงในพืช การเเพร่ เเละออสโมซิส
โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืช
โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืชประกอบด้วยระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง (vascular tissue system) ซึ่งเนื้อเยื่อในระบบนี้จะเชื่อมต่อกันตลอดทั้งลำต้นพืช โดยทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ สารอนินทรีย์ สารอินทรีย์ และสารละลายที่พืชต้องการนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์
ระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียงประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) กับท่อลำเลียงอาหาร (phloem)

ความรู้วิชาลูกเสือ-เนตรนารี



คำปฏิญาณของลูกเสือ

ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า   

ข้อ 1. ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ข้อ 2. ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ

ข้อ 3 . ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ

กฎของลูกเสือ มี  10 ข้อ

                                                                                 

ข้อ 1. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้

ข้อ 2. ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรง
        ต่อผู้มีพระคุณ
ข้อ 3. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
ข้อ 4. ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
ข้อ 5. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ข้อ 6. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์                 
ข้อ 7. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความ   
         เคารพ               
ข้อ 8. ลูกเสือมีใจร่าเริง และไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก                 
ข้อ 9. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์                   
ข้อ 10. ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
เรียนรู้เงื่อนเชือก
10 เงื่อนพื้นฐานลูกเสือสามัญ
๑. เงื่อนตะกรุดเบ็ด ( Cleve Hitch ) ประโยชน์ ๑. ใช้ผูกเชือกกับเสาหรือหลักเพื่อล่ามสัตว์เลี้ยงหรือเรือแพเพื่อป้องกันไม่ให้ปมเชือกคลายหลุดควรเอาปลายเชือกผูกขัดสอดกับตัวเชือก ๑ รอบ ) ๒. ใช้ผูกบันไดเชือก บันไดลิง ผูกกระหวัดไม้ ๓. ใช้ในการผูกแน่น เช่น ผูกประกบ ผูกกากบาท
๒. เงื่อนพิรอด ( Reef Knot หรือ Square Knot )
ประโยชน์ ๑. ใช้ต่อเชือก ๒ เส้น ที่มีขนาดเท่ากัน เหนียวเท่ากัน ๒. ใช้ผูกชายผ้าพันแผล ผูกชายผ้าทำสลิงคล้องคอ ๓. ใช้ผูกมัดหีบห่อ และวัตถุต่าง ๆ ๔. ผูกเชือกรองเท้า ( ปลายกระตุก ๒ ข้าง ) และผูกโบว์ ๕. ใช้ผูกกากบาทญี่ปุ่น ๖. ใช้ต่อผ้าเพื่อให้ได้ความยาวตามต้องการเพื่อช่วยคนที่อยู่ที่สูงในยามฉุกเฉิน ( ต้องเป็นผ้าเหนียว ๆ )
๓. เงื่อนขัดสมาธิ ( Sheet Bend )
ประโยชน์ของเงื่อนขัดสมาธิ ๑. ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดต่างกัน ( เส้นเล็กเป็นเส้นพันขัด ) หรือต่อเชือกที่มีขนาดเดียวกันก็ได้ ๒.ใช้ต่อเชือกแข็งกับเชือกอ่อน(เส้นอ่อนเป็นเส้นพันขัด) ๓.ใช้ต่อเชือกที่ค่อนข้างแข็ง เช่น เถาวัลย์ ๔.ใช้ต่อด้ายต่อเส้นไหมทอผ้า ๕. ใช้ผูกเชือกกับขอหรือบ่วง ( ใช้เชือกเล็กเป็นเส้นผูกขัดกับบ่วงหรือขอ ) เช่น ผูกเชือกกับธงเพื่อเชิญธงขึ้น - ลง
๔. เงื่อนผูกร่น หรือ ทบเชือก (Sheepshank)

ประโยชน์ ๑. ใช้ผูกร่นเชือกตรงส่วนที่ชำรุดเล็กน้อย เพื่อให้เชือกมีกำลังเท่าเดิม ๒. เป็นการทบเชือกให้เกิดกำลังลากจูง ๓. การร่นเชือกที่ยาวมากๆ ให้สั้น ตามต้องการ
๕. เงื่อนกระหวัดไม้ (Two Haft Hitch)
ประโยชน์ ๑. ใช้ผูกชั่วคราวกับห่วง หรือกับรั่ว กับกิ่งไม้ ๒. แก้ง่าย แต่มีประโยชน์ ๓. ผูกเชือกสำหรับโหน

๖. เงื่อนบ่วงสายธนู ( Bowline ) ใช้ทำเป็นบ่วงที่มีขนาดที่ไม่เลื่อนไม่รูด

ประโยชน์ ๑. ทำบ่วงคล้องกับเสาหลักหรือวัตถุ เช่น ผูกเรือ แพไว้กับหลัก ทำให้เรือ แพขึ้น - ลง ตามน้ำได้ ๒. ทำบ่วงคล้องเสาหลัก เพื่อผูกล่ามสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย เพื่อให้สัตว์เดินหมุนได้รอบ ๆ เสาหลัก เชือกจะไม่พันรัดคอสัตว์ ๓. ใช้ทำบ่วงให้คนนั่ง เพื่อหย่อนคนลงสู่ที่ต่ำหรือดึงขึ้นสู่ที่สูง ๔. ใช้คล้องคันธนู เพื่อโก่งคันธนู ๕. ใช้ทำบ่วงต่อเชือกเพื่อการลากโยงของหนัก ๆ หรือทำบ่วงบาศ ๖. ใช้ผูกปลายเชือก ผูกถังตั้งถังนอน

๗. เงื่อกผูกรั้ง ( Tarbuck Knot )

ประโยชน์ ๑. ใช้ผูกสายเต็นท์ ยึดเสาธงกันล้ม ใช้รั้งต้นไม้ ๒. เป็นเงื่อนเลื่อนให้ตึงหรือหย่อนตามต้องการได้

๘. เงื่อนประมง ( Fishirman's Knot )
ประโยชน์ ๑. ใช้ต่อเส้นด้ายเล็ก ๆ เช่น ด้ายเบ็ด ต่อเส้นเอ็น ๒. ใช้ต่อเชือก ๒ เส้นที่มีขนาดเดียวกัน ๓. ใช้ผูกคอขวดสำหรับถือหิ้ว ๔. ต่อเชือกขนาดใหญ่ที่ลากจูง ๕. ใช้ต่อสายไฟฟ้า ๖. ใช้ผูกเรือแพกับท่าเรือหรือกับหลักหรือห่วง ๗. เป็นเงื่อนที่ผูกง่ายแก้ง่าย

๙. เงื่อนผูกซุง ( A Timber Hitch )
ประโยชน์ ๑. ใช้ผูกวัตถุท่อนยาว ก้อนหิน ต้นซุง เสา เพื่อการลากโยง ๒. ใช้ผูกทแยง ๓. ใช้ผูกสัตว์ เรือแพไว้กับท่าหรือเสาหรือรั้ว ต้นไม้ ๔. เป็นเชือกผูกง่ายแก้ง่าย

๑๐. เงื่อนเก้าอี้ ( Chair Knot or ireman's Chair Knot )
ประโยชน์ เป็นเงื่อนกู้ภัยใช้ช่วยคนที่ติดอยู่บนที่สูง ไม่สามารถลงทางบันไดได้ หรือใช้ช่วยคนขึ้นจากที่ต่ำ ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับบ่วงสายธนู ๒ ชั้นยึดกันแน่นโดยมีสิ่งของอยู่ตรงกลางภายในบ่วงเพื่อดึงลากสิ่งของไประหว่างจุด ๒ จุด

ความรู้วิชาภาษาไทย

ความเป็นมา

     วรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา เป็นการทำสงครามระหว่างพม่ากับมอญ เดิม
ต้นฉบับเป็นภาษามอญ แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องมีความสนุกน่าสนใจ ให้ข้อคิดมากมายจึงได้มีนักปราชญ์
ชาวไทยแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทย ตั้งแต่ก่อนเสียกรุงเสียอยุธยาครั้งสุดท้าย ภายหลังสมเด็จ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปลและ
เรียบเรียงให้เรียบร้อยเสร็จสมบูรณ์อีกครั้ง
   

      ผู้เรียบเรียง
     เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

    

      ประวัติและผลงาน
     เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เคยรับราชการเป็นหลวงสรวิชิต แล้วไปเป็นนายด่านเมืองอุทัยธานี ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อ
มาในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา และเป็นเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ผลงานที่สำคัญของท่านได้แก่ ราชาธิราช สามก๊ก ร่ายยาวมห่เวสสันดรชาดก (กัณฑ์กุมาร และ
กัณฑ์มัทรี) บทมโหรีเรื่องกากี ลิลิตเพชรมงกุฎ และอิเหนาคำฉันท์
ท่านถึงแก่ อสัญกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2348

    
     ลักษณะคำประพันธ์
    เป็นวรรณคดีร้อยแก้วแนวนิทานอิงประวัติศาสตร์


     จุดประสงค์ในการแต่ง
     รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์ที่จะใช้วรรณคดีเรื่องนี้ให้เกิดประโยชน์ และพระบรมวงศานุวศ์
ข้าทูลละอองธุลีพระบาท จะได้จดจำไว้เป็นคติบำรุงสติปัญญา

     
     เนื้อเรื่องย่อ
    พระเจ้ากรุงต้าฉิงแห่งประเทศจีน ยกทัพมาล้อมกรุงอังวะ ต้องการให้พระเจ้ามณเฑียรทอง ออกไป
ถวายบังคม และขอให้ส่งทหารออกมาขี่ม้ารำทวนต่อสู้กันตัวต่อตัวกับกามะนีทหารเอกของเมืองจีน
ถ้าฝ่ายกรุงรัตนบุระอังวะแพ้ต้องยกเมืองให้ฝ่ายจีน แต่ถ้าฝ่ายจีนแ้พ้จะยกทัพกลับทันทีพระเจ้ากรุงอังวะ
ประกาศหาผู้ที่จะอาสาออกไปรบกับกามะนี ถ้าสามารถรบชนะกามะนีทหารเอกของเมืองจีน
จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระมหาอุปราชและแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่ง เมื่อสมิงพระรามทราบ
ข่าว ก็คิดตึกตรองว่า หากจีนชนะศึกครั้งนี้ จีนคงยกทัพไปตีเมืองหงสาวดีของตนต่อไปแน่ ควรคิด
ป้องกันไว้ก่อนจึงอาสาออกรบ แม้แรกๆ จะเกรงว่าการอาสารบนี้จะเป็น "หาบสองบ่า อาสาสองเจ้า"
ก็ตาม โดยขอพระราชทานม้าฝีเม้าดีตัวหนึ่ง และได้เลือกม้าของหญิงม้าย สมิงพระรามนำม้าออกไป
ฝึกหัด ให้รู้จกทำนองรบรับจนคล่องแคล่วสันทัดดี พร้อมทั้งทูลขอ ขอเหล็กและตะกรวยผูกข้างม้า
ในระหว่างการรบ สมิงพระรามเห็นว่า กามะนีมีความชำนาญด้านการรบเพลงทวนมาก และยังสวม
หุ้มเกราะไว้แน่นหนา สมิงพระรามจึงใช้อุบายว่าให้แต่ละฝ่ายแสดงท่ารำให้อีกฝ่ายรำตามก่อนที่จะ
ต่อสู้กัน ทั้งนี้เพื่อจะคอยหาช่องทางที่จะแทงทวนให้ถูกตัวกามะนีได้ เมื่อได้หลอกล่อให้กามะนีรำตาม
ในท่าต่าง ๆ จึงได้ช่องใต้รักแร้กับบริเวณเกราะซ้อนท้ายหมวกที่เปิดออกได้ สมิงพระรามจึงหยุดรำให้
ต่อสู่กันโดยทำทีว่าสู้ไม่ได้ ขับม้าหนีของกามะนีเหนื่อย เมื่อได้ทีก็สอดทวนแทงซอกใต้รักแร้ แล้วฟัน
ย้อนกลีบเกราะตัดศีรษะของกามะนีขาด แล้วเอาขอเหล็กสับใส่ตะกรวยโดยไม่ให้ตกดิน นำมาถวาย
พระเจ้ามณเฑียรทองเมื่อฝ่ายจีนแพ้ พระเจ้ากรุงจีนก็สั่งให้ยกทัพกลับตามสัญญา พระเจ้ามณเฑียรทอง
พระราชทานตำแหน่งมหาอุปราชและพระราชธิดา ให้เป็นบาทบริจาริกาแก่สมิงพระรามตามที่ได้รับสั่งไว้

      การพิจารณาคุณค่า
    1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ มีการใช้สำนวนโวหารสูง แม้จะใช้ประโยคยาวแต่ใช้ถ้อยคำภาษาและ
การเข้าประโยคที่สละสลวย
        1.1 การใช้สำนวนเปรียบเทียบที่คมคาย เช่น
" พระเจ้ากรุงจีนยกมาครั้งนี้อุปมาดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมาเมื่อ
วสันตฤดูนั้นหาสิ่งใดจะต้านทานมิได้"
หมายถึง กองทัพของพระเจ้ากรุงจีนเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้
        1.2 ใช้คำคมให้คติเตือนใจ เช่น
"เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์ อย่าว่าแต่สมบัติมนุษย์นี้เลย ถึงท่านจะเอาทิพยสมบัติของ
สมเด็จอมรินทร์มายกให้เรา เราก็มิได้ปรารถนา"
หมายถึง คนที่รักษาคำพูดถึงแม้จะนำทรัพย์อันมีค่ามาให้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำพูด
ที่เคยให้ไว้ได้"
    2. คุณค่าด้านสังคม ค่านิยม และความเชื่อ
        2.1 ความเชื่อถือในเรื่องฤกษ์ เช่น ตอนพระเจ้ากุงต้าฉิงยกทัมายังกรุงรัตนบุระอังวะก็ต้องรอให้
ฤกษ์ดีก่อนจะยกทัพมาใด้
        2.2 ขนบธรรมเนียมในการส่งเครื่องราชบรรณาการไปเพื่อตอบแทน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งปรัพฤติ
ปฏิบัติตามที่ฝ่ายตนร้องขอ หรือส่งเครื่องราชบรรณาการไปเพื่อขอให้อีกฝ่ายหนึ่งทำตามที่ตนเองขอ
เช่น การส่งพระราชสาส์นจากพระเจ้ากรุงต้าฉิง เพื่อจะให้พระเจ้าอังวะอยู่ในอำนาจออกมาถวายบังคม
และต้องการจะดูทหารรำทวนขี่ม้าสู้กัน
        2.3 การรักษาสัจจะของบุคคลที่อยู่ในฐานะกษัตริย์ เช่น การรักษาคำพูดของพระเจ้ากรุงต้าฉิง
เมื่อกามะนีแพ้ก็ยกทัพกลับไปโดยไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใดเลย ตามที่ได้พูดไว้
        2.4 ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เช่น สมิงพระรามแม้จะอาสารบให้กับพระเจ้าอังวะ แต่
โดยใจจริงแล้วก็ทำเพื่อบ้านเมืองของตน และยังคงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของตน
        2.5 การปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ เป็นการสร้างกำลังใจและ
ผูกใจคนไว้ได้ ดังตอนที่พระเจ้าอังวะให้เหตุผลต่อสมิงพระราม เมื่อสมิงพระรามไม่รับบำเหน็จจาก
การอาสารบ"อนึ่งเราเกรงคนทั้งปวงจะครหานินทาได้ ท่านรับอาสากู้พระนครไว้มีความชอบเป็นอันมาก
มิได้รับบำเหน็จรางวัลสิ่งใด นานไปเบื้องหน้าถ้าบ้านเมืองเกิดการจราจล หรือข้าศึกมาย่ำยีเหลือกำลัง
ก็จะไม่มีผู้ใดรับอาสาอีกแล้ว"ด้วยเหตุผลของพระเจ้าอังวะข้างต้น สมิงพระรามจึงต้องรับรางวัลในครั้งนี้

     ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
    1. คนดีมีความสามารถแม้อยู่ในเมืองศัตรูก็ยังมีคนเชิดชูได้เสมอ
    2. ผู้เป็นกษัตริย์ย่อถือความสัตย์เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด
    3. ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย เช่น กามะนี
    4. ผู้ทีทำกิจโดยอาศัยปฏิภาณไหวพริบและความสามารถเฉพาะตนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
    5. บ้านเมืองที่ประกอบไปด้วยกษัตริย์ ที่อยู่ในความสัตย์ เสนาอำมาตย์มีความสามัคคี เชื่อฟัง
ผู้บังคับบัญชา และทหารที่มีความสามารถในการรบจัดเป็นบ้านเมืองที่แข็งแกร่ง เป็นที่เกรงขามของ
ประเทศทั่วไป และจะสามารถดำรงเอกราชไว้ตราบนานเท่านาน
เรื่องย่อ สมิงพระรามอาสา 


       เมื่อพระเจ้าราชาธิราชขึ้นครองกรุงหงสาวดี ได้ทำสงครามกับพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา แห่งกรุงรัตนบุระอังวะ(หรือกรุงอังวะนั่นเอง) จากสาเหตุเมืองพะสิมแข็งเมือง ไม่ยอมขึ้นต่อพระเจ้าราชาธิราช พระเจ้าราชาธิราชจึงยกทัพไปปราบ เจ้าเมืองพะสิมหนีไปพึ่งเจ้าเมืองทรางทวย(อ่านว่า ซาง-ทวย) เจ้าเมืองทรางทวยจับเจ้าเมืองพะสิมส่งไปถวายพระเจ้าราชาธิราช พระเจ้าราชาธิราชทรงให้ประหารเจ้าเมืองพะสิม พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาจึงหาหตุตีกรุงหงสาวดีเพราะต้องการแผ่พระราชอำนาจ แต่กองทพของพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ถูกกองทัพพระเจ้าราชาธิราชตีแตกกลับไป เป็นเหตุให้พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาทรงอัปยศอดสูจนทรงพระประชวรและเสด็จ สวรรคต พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่าพเจ้าฝรั่งมังฆ้อง หรือพระเจ้ามณเฑียรทอง พระเจ้าราชาธิราชกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ได้ทำสงครามกันต่อมา
        ครั้งหนึ่ง มังรายกะยอฉะวา(พระราชโอรสของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง) ยกทัพมาตีเมืองหงสาวดี ครั้งนั้นสมิงพระราม ทหารมอญผู้มีฝีมือในการรบเป็นเยี่ยม มีความองอาจเข้มแข็ง บังคับช้าง,ม้า ได้ชำนาญ ได้ชี่ช้างพลายประกายมาศ ออกทำสงคราม ช้างพลายประกายมาศตกหล่ม มังรายกะยอฉะวาจึงจับสมิงพระรามได้ และนำไปจองจำไว้ในกรุงอังวะในฐานะเชลย

     ราชาธิราช..ตอน สมิงพระรามอาสา..
         ฝ่าย พระเจ้ากรุงต้าฉิง ซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงจีนนั้น มีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ กามะนี มีฝีมือขี่ม้าแทงทวนสันทัดดี หาผู้เสมอมิได้ จีนทั้งปวงก็สรรเสริญว่า กามะนีนี้ มิใช่มนุษย์ดุจเทพยดาก็ว่าได้ อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากรุงจีนเสด็จออก ตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงว่า "ทำไฉน เราจะได้เห็นทหารขี่ม้า สู้กันกับกามะนีตัวต่อตัวดูเล่นให้เป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์ใด ยังจะมีทแกล้วทหาร(ทะ-แกล้ว แปลว่า ทหารผู้มีฝีมือมาก)ที่สามารถจะสู้กามะนีได้ แต่พอชมเล่นเป็นที่เจริญตาได้บ้าง" เสนาบดีจึงกราบทูลว่า"กษัตริย์ที่จะมีทแกล้วทหารขี่ม้าสันทัดนั้นมีอยู่แต่ กรุงรัตนบุระอังวะ กับ กรุงหงสาวดี กษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์นี้ย่อมทำสงครามแก่กันอยู่มิได้ขาด" 
         พระเจ้ากรุงจีนได้ทรง ฟังก็มีพระทัยยินดีนัก จึงสั่งให้จัดพลพยุหเสนาทั้งปวงเป็นอันมากจะนับประมาณมิได้ ครั้นที่ศุภฤกษ์แล้ว (ถึงเวลายามดี) พระองค์ก็เสด็จทรงม้าพระที่นั่ง ยกทัพบกมายังกรุงอังวะ พระเจ้ากรุงจีนยกมาครั้งนั้น อุปมา(เปรียบเสมือน)ดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำหนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมาเมื่อวสัน ตฤดูนั้น(ฤดูฝน ก่อนฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิ นั่นเอง)หาสิ่งใดจะต้านทานมิได้ ครั้นเสด็จดำเนินกองทัพมาถึงกรุงอังวะ ทอดพระเนตรเห็นกำแพงเมืองถนัดก็ให้ตั้งทัพมั่นลง
         ฝ่ายพระเจ้าฝรั่ง มังฆ้องได้แจ้งว่า ทัพจีนยกมามากเหลือกำลัง ก็มิให้ออกรบสู้ต้านทาน ให้แต่รักษาพระนครมั่นไว้เป็นสามารถ ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนจึงให้มีพระราชกำหนดประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า "ถ้าผู้ใดไม่มีอาวุธรบสู้ อย่าได้ทำอันตรายเป็นอันขาด ถ้าผู้ใดมิฟังจะให้ตัดศีรษะเสียบเสีย" ครั้นพระเจ้ากรุงจีนให้ตั้งค่ายมั่นลงแล้ว ก็ให้แต่งพระราชสาส์นฉบับหนึ่ง แล้วให้จัดแพรลายมังกรร้อยม้วน แพรลายทองร้อยม้วน กับเครื่องยศประดับหยกอย่างกษัตริย์ปสำรับหนึ่ง ให้ขุนนางในตำแหน่งฝ่ายพลเรือนชื่อโจเปียว พูดภาษาพม่าได้ กับไพร่พอสมควร เชิญพระราชสาส์น กับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง โจเปียว ก็ถวายบังคมลา ถือพระราชสาส์นคุมเครื่องราชบรรณาการมากับด้วยพร่ จึงเรียกทหารผู้รักษาหน้าที่ให้เปิดประตูเมืองรับ นายทัพนายกองได้แจ้งด้งนั้น ก็เข้ากราบบังคมทูลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง จึงโปรดให้รับผู้ถือพระราชสาส์นเข้ามา โจเปียวก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง ถวายพระราชสาส์นกับเคื่องราชบรรณาการพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงรับสั่งให้ล่ามเจ้าพนักงานเข้ามาแปลพระราชสาส์น ล่ามแปลแล้วจึงสั่งให้อาลักษณ์อ่าน ในพระราชสาส์นนั้นว่า  เรายกพยุหเสนามาครั้งนี้ ด้วยมีความปรารถนา 2 ประการ
จะใคร่ดูทหารขี่ม้า รำทวนสู้กันตัวต่อตัวชมเล่นเป็นขวัญตา(ทวน มีลักษณธคล้ายหอก แต่แหลมและเบากว่า) แม้ทหารกรุงอังวะแพ้ ก็ให้ยอมถวายเมืองแก่เราโดยดี อย่าให้สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเลย ถ้าทหารฝ่ายเราแพ้ ก็จะเลิกทัพกลับไปยังพระนคร และราษฎรในกรุงอังวะนั้น โดยต่ำลงไปแต่กระท่อมน้อยหลังหนึ่งก็มิให้เป็นอันตราย พระเจ้าอังวะจะคิดประการใด ก็เร่งบอกออกมา
      พระเจ้าฝั่ง มังฆ้องได้แจ้งในพระราชสาส์นนั้นแล้ว ก็ดีพระทัยนัก ด้วยทรงพระดำริว่า "การสงครามครั้งนี้เป็นธรรมยุทธ์ใหญ่ยิ่ง(ธรรมยุทธ์ แปลว่า สงครามโดยธรรม หรือยุติธรรม) สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรจะมิได้ความเดือดร้อน สมควรแก่พระเจ้าแผ่นดินผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรม" ทรงพระดำริแล้วจึงให้พระราชทานเงินทองเสื้อผ้าแก่ผู้ถือหนังสือเป็นอันมาก แล้วให้แต่งพระราชสาส์นตอบฉบับหนึ่ง ให้จัดเครื่องราชบรรณาการ ผ้าสักหลาด20พับ นอระมาด50ยอด น้ำดอกไม้เทศ30เต้า ช้างพลายผูกเครื่องทองช้างหนึ่ง(1 เชือก) มอบให้โจเปียวผู้จำทูลพระราชสาส์นนำกลับไปถวายพระเจ้ากรุงจีนจึงรับสั่งให้ ล่ามพม่าเข้ามาแปล ให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย ในพระราชสาส์นนั้นตอบว่า   ซึ่งพระเจ้ากรุงจีนมีพระทัยปรารถนา จะใคร่ชมฝีมือทหารฝ่ายพม่าขี่ม้ารำทวนสู้กัน เป็นสงครามธรรมยุทธ์นั้น เราเห็นชอบด้วย มีความยินดียิ่งนัก เพราะสมควรแก่พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ แต่การสงครามครั้งนี้ เป็นมหายุทธนาการใหญ่หลวง จะด่วนกระทำโดยเร็วนั้นมิได้ ของด(ขอ-งด)ไว้ภายใน 7 วัน อนึ่งพระองค์ก็เสด็จมาจากประเทศไกล ไพร่พลทั้งปวงยังเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่ ขอเชิญพระองค์พักพลทหารระงับพระกายให้สำราญพระทัยก่อนเถิด แล้วเราจึงจะให้มีกำหนดนัดหมายออกไปแจ้ง ตามมีพระราชสาส์นมานั้น    พระเจ้ากรุงจีนได้แจ้งในพระราชสาส์ตอบกลับแล้วก็ดีพระทัย จึงสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงสงบไว้
        ฝ่ายพระเจ้ามณเฑียรทอง ครั้นส่งพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปแล้ว จึงตรัสปรึกษาเสนาพฤฒามาตย์(ขุนนาง)ราชปโรหิต ข้าราชการผู้น้อย/ใหญ่ ทแกล้วทหารทั้งปวงว่า "ผู้ใดจะรับอาสาขี่ม้าแทงทวนสู้กามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนตัวต่อตัวได้บ้าง" เสนาพฤฒามาตย์ผู้น้อย/ใหญ่ ทแกล้วทหารทั้งปวงก็มิอาจรับอาสาได้ พระเจ้ามณเฑียรทองก็ทรงพระวิตกเป็นทุกข์พระทัยนัก จึงให้พระโหรมาคำนวณพระชันษาและชะตาเมืองดู โหรก็คำนวณพฎีกาดู ทูลถวายว่า "พระชันษาและชะตาเมืองยังดีอยู่ หาเสียไม่ นานไปจะได้ลาภอันประเสริฐอีก" พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังก็ดีพระทัย จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวทั่วทั้งพระนครว่า "ผู้ใดรับอาสาสู้กับกามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนได้ พระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เป็นพระอุปราช เสนาบดีรับสั่งแล้วก็ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร ไม่มีผู้ใดที่อาจออกรบอาสาได้
     ฝ่ายผู้คุมซึ่งคุมสมิงพระรามนั้น จึงเจรจากับเพื่อนกันตามเรื่องราว แล้วว่า"ครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวจะแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ก็ยังไม่มีผู้ใดรับอาสา เห็นเมือง เห็นเมืองจะตกต่ำเสียละกระมัง" สมิงพระรามได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ~แต่เราต้องพันธนาการตรากตรำอยู่นานแล้ว มิได้ขี่ช่าง,ม้า เหยีดมือ,เท้า เยื้องแขนซ้ายย้ายแขนขวาเล่นบ้างเลย รำคาญใจนัก เราจะกลัวอะไรกับกามะนีทหารจีน อันจะเอาชัยชนะนั้นไม่สู้ยากนัก ครั้นจะสั่งอาสาบัดนี้เล่า ก็เหมือนหาบสองบ่า อาสาสองเจ้าหาควรไม่~ คิดแล้วก็นิ่งอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นผู้คุมได้ยินข้าหลวงมาป่าวร้องอีก จึงพูดกับเพื่อนกันว่า "ทัพจีนยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หาทหารผู้ใดที่จะรับอาสาพระนครไว้นั้นเป็นอันยากแล้ว อย่าว่าแต่เมืองพม่าเท่านี้เลย ถึงเมืองใหญ่ๆกว่าเมืองพม่าสัก10เมืองก็เห็นจะสู้ไม่ได้ น่าที่จะเสียเมืองแก่จีนเป็นมั่นคง" สมิงพระรามได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า~กรุงอังวะนี้ เป็นต้นทางดังอุปมาดังหน้าด่านกรุงหงสาวดี พระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาครั้งนี้ ก็มีความปรารถนาจะใคร่ดูทแกล้วทหารอันมีฝีมือขี่ม้ารำเพลงทวนสู้กันตัวต่อ ตัว ถ้าไม่มีผู้ใดสู้รบ ถึงจะได้เมืองอังวะแล้วก็ไม่สิ้นความปรารถนาแต่เพียงนี้ เห็นศึกจีนจะกำเริบยกล่วงเลยลงไปติดกรงหงสาวดีด้วยเป็นมั่นคง ตัวเราเล่า ก็ต้องจองจำตรากตรำอยู่ ถ้าเสียกรุงอังวะแล้วจะหมายใจว่าจะรอดคืนไปเมืองหงสาวดีได้ก็ใช่ที่ จำเราจะรับอาสาตัดศึกเสียจึงจะชอบ อย่าให้ศึกจีนยกลงไปติดกรุงหงสาวดีได้~ คิดแล้วจึงพูดกับผู้คุมว่า "จะกลัวอะไรกับกามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนนั้น จะมีฝีมือดีสักเพียงไหน เรากลัวแต่ทหารเทพยดาที่เหาะได้ ซึ่งกามะนีกับเราก็เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกัน เราหากลัวไม่ พอจะสู้รบเอาชัยชนะ" นายผู้คุมได้ฟังก็ดีใจจึงตอบว่า ถ้าท่านรับอาสาได้แล้ว ก็ดียิ่งนัก เห็นท่านจะพ้นโทษได้ที่พระอุปราชมียศถาศักดิ์ใหญ่เป็นมั่นคง ไปเบื้องหน้าเราจะขอพึ่งบุญท่าน" สมิงพระรามตอบว่า"ซึ่งเรารับอาสานี้ จะหวังยศถาบรรดาศักดิ์หามิได้ ประสงค์จะกู้พระนครให้เป็นเกียรติยศไว้ และจะให้ราษฎรสมณชีพราหมณ์อยู่เย็นเป็นสุขเท่านั้น" ผู้คุมได้ฟังก็ชอบใจ จึงนำถ้อยคำสมิงพระรามรีบเข้าไปแจ้งแก่เสนาบดี เสนาบดีได้ฟังก็มีความชื่นชม จึงนำความเข้ากราบทูลพระเจ้ามณเฑียรทองตามคำสมิงพระรามว่านั้นทุกประการ






ความรู้วิชาภาษาจีน



颜色 สี
红色 อ่านว่า หงเซ่อ (hóng sè) แปลว่า สีแดง
绿色 อ่านว่า ลวี่เซ่อ (lǜ sè) แปลว่า สีเขียว
白色 อ่านว่า ไป๋เซ่อ (bái sè) แปลว่า สีขาว
黑色 อ่านว่า เฮยเซ่อ (hēi sè) แปลว่า สีดำ
蓝色 อ่านว่า หลานเซ่อ (lán sè) แปลว่า สีฟ้า , สีน้ำเงิน
黄色 อ่านว่า หวงเซ่อ (huáng sè) แปลว่า สีเหลือง
橙色 อ่านว่า เฉิงเซ่อ (chéng sè) แปลว่า สีส้ม
棕色 อ่านว่า จงเซ่อ (zōngsè) แปลว่า สีน้ำตาล
棕色 อ่านว่า จงเซ่อ (zōngsè) แปลว่า สีน้ำตาล

ความรู้วิชาแนะแนว



เคล็ดลับการเรียน - เรียนให้เป็น ไม่ใช่เรียนให้หนัก

ทุกคนต่างก็มีวิธีการเรียนเป็นของตัวเอง เพราะการเรียนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไม่มี ‘สูตรสำเร็จ' เพียงสูตรเดียว ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการเรียน คือวิธีที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุด

แทนที่จะ 'เรียนให้หนัก' เราควรจะ 'เรียนให้เป็น' ถามตัวเราเองว่า จะสร้างสุขนิสัยที่ดีในการเรียนให้ได้ประโยชน์เต็มที่อย่างไรบ้าง วิธีนี้นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาที่เสียไปกับการเรียนได้อีกด้วย

สถานที่นั้น สำคัญไฉน?
แม้งานวิจัยบางชิ้นพบว่าคาเฟ่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับทำการบ้านและอ่านหนังสือ (บรรยากาศเสียงรอบข้าง อุณหภูมิอบอุ่น แสงสบายตา ยังไม่รวมกาแฟแก้ง่วงที่ขายในร้าน) แต่ข้อสรุปนี้ก็ไม่ได้เป็นจริงสำหรับทุกคนเสมอไป

หากเป็นคนหนึ่งที่ความพลุกพล่านและเสียงรอบตัวในคาเฟ่ทำให้สมาธิกระเจิดกระเจิง ลองเปลี่ยนที่อ่านหนังสือจากคาเฟ่มาเป็นห้องสมุดสาธารณะเงียบสงบใกล้บ้านดูสิ

อีกทางเลือกที่คนนิยมคือการอ่านที่บ้าน ซึ่งบางครั้งความสะดวกสบายของบ้านตัวเองเป็นอุปสรรคตัวร้ายที่ทำให้ไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ บางครั้งเราก็อยากอ่านหนังสือชิวชิว แต่ก็ไม่ชิวถึงขั้นอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงซะหน่อย

เสียง...มากน้อยแค่ไหนถึงจะดี?
จากการศึกษาพบว่า บรรยากาศเงียบๆ ช่วยเราเอาชนะการทำงานยากๆ ได้ แต่ก็มีบางส่วนเห็นว่า เสียงรอบข้างแบบพอดีๆ ไม่ดังจนเกินไปต่างหากที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีกว่า

จากการทดลองพบว่า เสียงรอบข้างประมาณ 70 เดซิเบล (แบบที่ได้ยินตามคาเฟ่ทั่วไป) ดีต่อการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากดังมากไปกว่านั้น (อย่างการอยู่ในคาเฟ่ที่เสียงดัง หรือนั่งใกล้เครื่องบดกาแฟ) อาจส่งผลให้เกิดความดันโลหิตและความเครียดที่เพิ่มขึ้น ทำให้สมองรับข้อมูลได้น้อยกว่าปกติ

บางคนชอบฟังเพลงคลอไปขณะอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ซึ่งหลายคนก็มองว่าทำให้เสียสมาธิ ลองฟังแนวเพลงที่จะไม่ทำให้เราหลุดโฟกัสขณะอ่านหนังสือ เช่น เพลงนีโอคลาสสิคของ Nils Frahm, Max Richter, Olafur Arnalds เพลงแจ็สของ Chet Baker, Dave Brubeck, Jimmy Smith, Duke Jordan เพลงโมเดิร์นอย่าง Mogwai, BADBADNOTGOOD, Nightmares on Wax เป็นต้น

เรียนช่วงไหนเวิร์คสุด?
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้ นักวิจัยบางคนแนะนำว่าให้ใช้เวลาช่วงเช้าเรียนบทเรียนใหม่ๆ และนำความรู้ตรงนั้นมาปรับใช้กับความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วในช่วงกลางวัน-เย็น แต่สุดท้า ยแล้วก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน

ตอนเช้า
ร่างกายเรามีพลังงานเหลือเฟือ

มีสถานที่ให้เลือกเยอะมากกว่า

หากมีคำถามไม่เข้าใจก็สามารถถามคนอื่นได้ทันที

แสงธรรมชาติดีต่อสายตาและสมาธิมากกว่า

แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิมากกว่า

ตอนกลางคืน
เงียบสงบ
ช่วงกลางคืน ความคิดสร้างสรรค์เราจะโลดแล่นมากกว่าปกติ รับรู้คอนเซ็ปต์ต่างๆ ในมุมมองที่ต่างจากเดิม
มีสถานที่ให้เลือกน้อยลง ซึ่งสถานที่เหล่านั้นก็มักจะคนน้อย
บางงานวิจัยพบว่ามนุษย์กลางคืนฉลาดกว่าคนที่ตื่นเช้า
เรียนนานแค่ไหน?
การพักสายตาจากการอ่านหรือการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ นักสังคมศาสตร์ได้ทำการทดลองและพบว่า 52 นาที เป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการเรียนในหนึ่งช่วง ก่อนที่จะพักอีก 17 นาที แม้ว่าจะฟังดูตลก แต่ว่าหัวใจสำคัญของการพักนั้น ไม่ใช่แค่การอู้งานเฉยๆ แต่เป็นการทำให้เราสามารถกลับมาเรียนต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเรียนหรืออ่านหนังสือติดต่อกันนานๆ ทำให้สมาธิลดลงเรื่อยๆ จนง่วงนอน ลองละสายตาจากหนังสือสักครู่แล้วทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายเล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าเราจะมีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น แถมสมองยังรับข้อมูลได้มากกว่าการอ่านหนังสือยาวๆ โดยไม่พักเลย

คนเดียวหัวหายหรือสองคนเพื่อนตาย?
ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่เราเรียนเป็นเรื่องอะไร มีการค้นพบว่าการเรียนเป็นกลุ่มได้ผลมากกว่าเรียนคนเดียว เพราะช่วยให้เกิดการกระตุ้นซึ่งกันและกัน สามารถผลัดกันถาม-ตอบเรื่องที่เรียนได้ ช่วยสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อเหมือนเคย

อย่างไรก็ตาม การเรียนเป็นกลุ่มอาจกลายเป็นอุปสรรค เราอาจจะตั้งใจเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับเพื่อน แต่ดันจบลงที่การคุยกันเรื่องไปเที่ยวตอนปิดเทอม ดังนั้น จึงควรเลือกอ่านหนังสือกับเพื่อนที่ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเหมือนกับเรา และแยกเวลาเล่นกับเวลาเรียนให้เหมาะสม


สุดท้ายแล้ว วิธีเรียนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ วิธีที่เหมาะสมกับตัวเราเองที่สุดต่างหาก ฉะนั้น ก่อนจะเริ่มลงมืออ่านหนังสือครั้งหน้า อย่าลืมนึกถึงสภาพแวดล้อมที่เราชอบที่สุดในการเรียน ยิ่งรู้ว่าเราเหมาะกับบรรยากาศการเรียนแบบไหน ยิ่งทำให้เราเรียนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

ความรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ





วิวัฒนาการของมนุษย์

           มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีชื่อวิทยาศาสตร์ Homo sapien sapien มีการดำรงชีวิตมาประมาณ 3 หมื่น-1 แสนปี มาแล้ว นักมนุษยวิทยาส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า มนุษย์ และ ลิงไร้หาง (Ape) มีบรรพบุรุษร่วมกัน


ข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์กับลิง

1. การเดิน มนุษย์เดิน 2 ขา ลำตัวตั้งตรง ลิงเดิน 4 ขา
2. กระดูกเชิงกราน มนุษย์มีชิ้นถัดไปเรียงตัวในแนวตั้งกระดูกเชิงกรานลิงมีลักษณะลาดเอียง ดึงโน้มให้กระดูกคอและกะโหลกศีรษะเรียงตัวในแนวนอน
3. ปริมาตรของสมอง มนุษย์มีมากขึ้น
4. ส่วนของหน้าและขากรรไกร มนุษย์ลดขนาดลง
5. ลักษณะมือ มนุษย์และลิงคล้ายกัน แต่การใช้งานต่างกันเนื่องจากขนาดของนิ้วหัวแม่มือยาวไม่เท่ากัน นิ้วหัวแม่มือของลิงชิมแพนซี สั้นกว่าฐานข้อที่ 1 ของนิ้วชี้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือของมนุษย์ ยาวเกือบกึ่งกลางของข้อที่ 2

สายวิวัฒนาการของมนุษย์

          จากการค้นพบฟอสซิล พบบรรพบุรุษของมนุษย์ ปรากฏขึ้นครั้งแรก สมัยไมโอซีน พบว่ามี

ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ African ape และเชื่อว่าวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน เมื่อประมาณ4-8 ล้านปีมาแล้ว มีการค้นพบ ฟอสซิล Australopithecines 4 สปีชีส์ คือAustralopithecus afarensis , A. africanus , A. robusts , A. bosei

Australopithecine สปีชีส์แรก คือ Australopithecus afarensis ลักษณะสำคัญ มีขนาดใหญ่กว่าชิมแพนซีเล็กน้อย สูง 1-1.5 เมตร (3-5 ฟุต) น้ำหนักตัว 25-50 กิโลกรัม สมองมีขนาดเล็ก ประมาณ 380-450 ลบ.ซม. ช่วงแขนยาวกว่าช่วงขา มีการค้นพบฟอสซิลของ A. afarensis ในอัฟริกา มีลักษณะเป็นผู้หญิง ตั้งชื่อว่า “Lucy” ฟอสซิล Australopithecus afarensis ชื่อลูซี “Lucy” ที่พบจำนวน 13 ฟอสซิล ทางตอนเหนือของทะเลทรายในเอธิโอเปียน ปี1974 โดย Donald Johanson ฟอสซิลมีอายุมากกว่า 3 ล้านปี โครงกระดูกเป็นลักษณะผู้หญิง เดินตัวตรง



          Australopithecine สปีชีส์ที่ 2 คือ Australopithecus africanus นักมนุษย์วิทยาเชื่อว่า A. africanus วิวัฒนาการ มาจาก A. afarensis ขนาดสมองอยู่ระหว่าง 494-600 ลบ.ซม. มีความสูงประมาณ 1.4 เมตร ส่วนหน้ามีลักษณะแบน ฟันหน้า (Incisor) มีขนาดเล็ก พบฟอสซิลของ A. africanus ในประเทศแทนซาเนียและเอธิโอเปีย มีอายุประมาณ 3 ล้านปี



          Australopithecine สปีชีส์ที่ 3 คือ Australopithecus robustusมีการดำรงชีวิตเมื่อประมาณ 2.3-1.3 ล้านปีมาแล้วมีลักษณะแตกต่างไปจาก 2 สปีชีส์แรก คือ สมองมีขนาดประมาณ 500-600 ลบ.ซม. มีความสูงประมาณ 1.5 เมตรน้ำหนักตัวประมาณ 45 กิโลกรัม มีหลักฐานพบว่า A. robustus มีการวิวัฒนาการแตกสายออกไป แล้วสูญพันธุ์



         Australopithecine สปีชีส์ที่ 4 คือ Australopithecus boisei นักมนุษย์วิทยามีหลักฐานพบว่า มนุษย์วานรสปีชีส์นี้มีวิวัฒนาการแตกสายแยกออกมาจาก A. afarensis สมองมีลักษณะคล้าย A. robustus มี Jawขนาดใหญ่และมีความกว้างของฟันมากกว่า มีการดำรงชีวิตอยู่ทางตะวันออกของทวีปอัฟริกา ในช่วง2.5-1.2 ล้านปีมาแล้ว



Human Species

          มนุษย์ มี 1 สกุล คือ สกุล Homo ประกอบด้วย 3 สปีชีส์ ได้แก่ Homo habilis, H. erectus, H. sapiens H. habilis และ H. erectus จัดเป็นมนุษย์โบราณ ที่สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว



         1. Homo habilis มนุษย์โบราณ ที่มีการดำรงชีพ เมื่อประมาณ 3-2 ล้านปีมาแล้ว มีความสูงประมาณ 1.5 เมตร สมองมีขนาดใหญ่ประมาณ 700 ลบ.ซม. ส่งผลทำให้ส่วนหน้ามีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยแต่ขนาดของฟันหน้าและเขี้ยว กลับเล็กลง สามารถสร้างเครื่องมือหาอาหารสำหรับใช้ล่าสัตว์เล็กได้การดำรงชีวิตแบบเร่ร่อน



          ในปี 1960 นักมนุษย์วิทยาชื่อ Leaky ค้นพบฟอสซิลของ H. habilis ที่เมือง Olduvai Gorgeอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอัฟริกา ฟอสซิลมีอายุประมาณ1.75 ล้านปี มีลักษณะเป็นผู้หญิง ตั้งชื่อฟอสซิลว่า “Twiggy” ยังมีการค้นพบฟอสซิลของ H. habilis อีกเป็นจำนวนมากในทะเลสาป Turkana ที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปอัฟริกา บริเวณที่ค้นพบฟอสซิล H. habilis ปรากฏว่าพบหลักฐานการประดิษฐ์เครื่องมือล่าสัตว์ ที่ทำมาจากหินแบบง่าย ๆ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สปีชีส์นี้มีการพัฒนาทางสมองมีความสามารถในการควบคุมสภาพแวดล้อมได้



          2. Homo erectus เป็นมนุษย์กลุ่มแรก ที่อพยพย้ายถิ่นฐานออกจากทวีปอัฟริกา ไปยังทวีปเอเชียและทวีปยุโรป มีการดำรงชีพ เมื่อประมาณ 1.5 ล้านปีมาแล้ว มีความสูงประมาณ 1.6-1.8 เมตร (6 ฟุต)มีน้ำหนักตัวประมาณ 48 กิโลกรัม มีขนาดสมองประมาณ 800-1250 ลบ.ซม. สามารถสร้างเครื่องมือล่าสัตว์ใหญ่ได้ มีการสร้างที่อยู่อาศัย แต่ยังคงดำรงชีวิตแบบเร่ร่อน มีเครื่องนุ่งห่ม เริ่มรู้จักใช้ไฟมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์โบราณ Homo erectus โดยพบกะโหลกศีรษะในทะเลสาป Turkanaฟอสซิล มีอายุมากกว่า 1.5 ล้านปี มีลักษณะค่อนมาทางมนุษย์ปัจจุบัน ฟอสซิล มีลักษณะคล้ายมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง



          3. Homo sapiens มนุษย์ปัจจุบัน มีเพียง 1 สปีชีส์ แบ่งออกเป็น มนุษย์ปัจจุบันสมัยแรก

Homo sapiens Neanderthal มนุษย์ปัจจุบันสมัยสุดท้าย Homo sapiens sapiens

มนุษย์ปัจจุบันสมัยแรก Homo sapiens neanderthalensis ดำรงชีพ เมื่อประมาณ 4 แสนปีมาแล้วสมองมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบันเล็กน้อย ขนาดสมองประมาณ 1,400 ลบ.ซม. พบฟอสซิลที่บริเวณNeanderthal valley มนุษย์นีอัลเดอร์ทัล โครงร่างมีลักษณะเตี้ย มีกล้ามเนื้อ มากกว่ามนุษย์ปัจจุบันจมูกมีลักษณะแบน และรูจมูกกว้าง ทั้งนี้เนื่องจากมีการดำรงชีพอยู่ในเขตหนาว ทำให้นักมนุษย์วิทยามีข้อสันนิษฐานว่า การที่มีโครงร่างและลักษณะในแบบนี้อาจมีผลเนื่องจากต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถดำรงชีพในเขตหนาวได้ดีขึ้น มนุษย์ปัจจุบันสมัยสุดท้าย Homo sapiens sapiens ดำรงชีพเมื่อประมาณ 3 หมื่น ถึง 1 แสนปี มาแล้ว มีการค้นพบฟอสซิลของมนุษย์โครมันยอง ลักษณะสมองมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบันเล็กน้อย ประมาณ 1,350 ลบ.ซม.


ความแตกต่างของกะโหลกศีรษะระหว่างมนุษย์ปัจจุบันและมนุษย์นีอัลเดอร์ทัล

          ลักษณะทั่วไปจะคล้ายคลึงกัน มีเพียงบางลักษณะที่แตกต่างกันเห็นได้ชัด คือ นีอัลเดอร์ทัล หน้าผากลาดแคบมีสันคิ้วใหญ่หนา คางแคบหดไปทางด้านหลัง


  วิวัฒนาการด้านอารยธรรม (Cultural evolution)  มนุษย์แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นโดยมีวิวัฒนาการด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมที่อาศัยการเรียนรู้สืบทอดกันมา



สาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการด้านอารยธรรมเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ 2 ประการ คือ

1) การเดินตัวตรงของมนุษย์ ส่งผลให้กระโหลกศีรษะ มีการเปลี่ยนแปลง มีสมองใหญ่ขึ้นมีความคิดมากขึ้น ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการด้านวัฒนธรรมและอารยธรรม

2) พ่อแม่ดูแลลูกเป็นระยะเวลานาน ส่งผลทำให้ ลูกมีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากพ่อแม่มากขึ้น ได้แก่ Knowledge, Customs, Belief, Arts etc

วิวัฒนาการทางอารยธรรมของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง

1. Scavenging-gathering-Hunting เป็นช่วงแรกของ Homo habilis,H.erectus , Neanderthal (Modern man)
2. ทำเกษตรกรรม (Agriculture) เป็นช่วงที่ 2
3. ช่วงอุตสาหกรรม (The machine age) เป็นช่วงที่ 3


Cultural evolution

          เป็นสิ่งสำคัญ ที่ส่งผลทำให้มนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมของโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าปกติ นอกจากนี้มนุษย์ มี Cultural evolution อันเกิดขึ้นจากเปรียบเทียบ การเจริญด้านวัฒนธรรมและอารยธรรม และจากลักษณะที่แตกต่างทางพันธุกรรม ได้แก่ สีผิว สีผม สีตาและรูปร่างที่แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิม ส่งผลให้มีการแบ่งเผ่าพันธุ์ (Races) อันเกิดจากผลของ Biological evolution ด้วยการแบ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ (Races) แบ่งออกเป็นคอเคซอยด์ (Caucasoid), มองโกลอยด์ (Mongoloid), นีกรอยด์ (Negroid) และออสเตรลอยด์ (Australoid)


คอมพิวเตอร์หมายถึง
คอมพิวเตอร์ หมายถึง  เครื่องคำนวณ  อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า  เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล  ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง  เครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล

ความสำคัญของคอมพิวเตอร์
 คอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้มีความสามารถในการทำงานที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล และทำงานได้โดยอัตโนมัติ  คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้สำหรับงานที่ต้องมีการประมวลผลการทำงานที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้ หรือมนุษย์สามารถทำได้ แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมาก และอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย เช่น การคำนวณตัวเลขหลายหลักภายในเวลาอันรวดเร็ว การทำงานในแบบเดียวกันซ้ำๆ กันหลายครั้ง  การจดจำข้อมูลตัวเลขและตัวอักษรจำนวนมาก เป็นต้น  ซึ่งงานที่น่าเบื่อและยุ่งยากเหล่านี้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานแทนมนุษย์ โดยที่มนุษย์มีหน้าที่เพียงเป็นผู้สั่งการเท่านั้น  ดังนั้นทั้งหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนจึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง แม้แต่องค์กรขนาดเล็ก ก็ยังต้องนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน 
      คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานแทนมนุษย์หลายลักษณะ เช่น การทำงานที่เสี่ยงอันตราย การคำนวณทางวิศวกรรม การคำนวณทางสถิติ การทำธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร การสร้างงานศิลปะ การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การจัดการงานเอกสาร เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำงานของหลายหน่วยงาน  และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้งานคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน ดังต่อไปนี้
            1. การสื่อสาร (communication)
                ในยุคปัจจุบันเรียกว่า เป็นยุคแห่งการสื่อสารแบบไร้พรมแดน มีการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ คอมพิวเตอร์สามารถช่วยในการติดต่อสื่อสารกับทุกคนได้ทุกมุมโลกได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)  การพูดคุยและส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังสามารถสร้างเว็บเพจส่วนบุคคลให้เพื่อนๆ หรือครอบครัวเข้ามาชมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
            2. การเลือกซื้อสินค้า (shopping)
                การเยี่ยมชมร้านค้าต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า ไซเบอร์มอลล์ (cyber mall) เพื่อเลือกชมสินค้าและสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบการบริการทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้
            3. การสืบค้นข้อมูล (searching)
                การสืบค้นข้อมูลต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บไซต์ ที่เรียกว่า "search engine" เช่น www.sanook.com,  www.google.co.th,  www.bing.com  เป็นต้น  เพื่อค้นหาบทความ เอกสาร ข่าวท้องถิ่น ข่าวภายในประเทศหรือต่างประเทศ รูปภาพต่างๆ ตามความสนใจได้ ซึ่งในปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง คลิปวิดีโอ เป็นต้น ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาให้เลือกชมมากมาย
            4. ด้านความบันเทิง (entertainment)
                สามารถอ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ และเล่นเกมผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาหาความรู้ ฝึกทักษะในด้านต่างๆ และผ่อนคลายความเครียดโดยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็ได้
            5. ด้านการศึกษา (education)

                เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาใช้พิมพ์รายงาน นำเสนอผลงาน ทำสื่อการเรียนการสอน ทำงานหรือการบ้านส่งอาจารย์ รวมถึงการเรียนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) ที่เป็นโปรแกรมประยุกต์ทางเว็บไซต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าเรียนวิชาต่างๆ ได้ โดยมีหลักสูตรหรือวิชาต่างๆ ให้เลือกมากมายในทุกๆ ระดับชั้น บางหลักสูตรเรียนฟรี แต่ในบางหลักสูตรอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนเพิ่มเติม

ความรู้วิชาดนตรี-นาฏศิลป์



เพลงงามแสงเดือน

คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร)
ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท





   งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า                                     งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นเพื่อสนุก                                                            เปลื้องทุกข์วายระกำ
ขอให้เล่นฟ้อนรำ                                                          เพื่อสามัคคีเอย.
  

                                                                   เพลงชาวไทย

                    ชาวไทยเจ้าเอ๋ย             ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่ 
           การที่เราได้เล่นสนุก         เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้ 
เพราะชาติเราได้เสรี         มีเอกราชสมบูรณ์ 
     เราจึงควรช่วยชูชาติ        ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ 
       เพื่อความสุขเพิ่มพูน         ของชาวไทยเรา เอย